Thailand Web Stat Truehits.net
аёаёІаёўа№ЂаёаёЈаёа№Ђаёаёа№ЂаёЄаёаёўаёаёЎаёаёаёЄаёаё

กรองไฟรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม P Electronic Oil เพิ่มประสิทธิภาพ ให้รถที่คุณรัก

0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด
จำหน่ายกรองไฟ P Electronic Oil รุ่น P1530F



พิเศษราคา 3,800 บาท จากปกติ 4,500 บาท  ฟรีค่าจัดส่ง EMS

โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

สินค้ารับประกับ 2 ปี ไม่พอใจยินดีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 7 วัน
กล่องมีปัญหาเปลี่ยนใหม่ให้ทันที **ห้ามแกะหรือรื้อกล่องเด็ดขาด**



รายละเอียดกล่อง P Electronic Oil

1. เครื่องยนต์เดินเรียบและส่งผลให้เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ลดลง ให้การทำงานอยู่ในค่าที่สมดุล ไดชารต์สามารถชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรีได้ดี ทำให้ไม่เกิดอาการไฟตก และเพิ่มการจ่ายไฟให้เต็มประสิทธ์ภาพ

2. สามารถยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ สามารถวัดได้การค่า (CCA) ที่เพิ่มขึ้น  คือ ค่ากำลังไฟ ที่จ่ายออกมาได้สูงสุดตอนสตาร์ท

3. สามารถควบคุมการจุดระเบิดและการเผาไหม้ได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้มีอัตราเร่งดีขึ้น สามารถเพิ่มความเร็วโดยการกดคันเร่งเท่าเดิม แต่ได้ความเร็วที่เพิ่มขึ้น

4. ระบบเกียร์อัตโนมัติ ที่ใช้ชุดสมองเกียร์ (ECU) ในการควบคุมการสั่งงาน สามารถทำงานได้สมบูรณ์แบบ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ลดภาวะการกระตุก เป็นผลมาจากการที่ (ECU) ได้รับสัญญาณไฟที่สะอาดและเป็นระเบียบมากกว่าเดิม ในทุกช่วงของการทำงาน

5. ระบบเกียร์อัตโนมัติและแบบธรรมดา สามารถทำให้การ คิกดาวน์ (Kick Down) ได้อย่างต่อเนื่องและกระชับ เพิ่มความสนุกในการขับขี่ และมีความปลอดภัย

6. ช่วยให้เครื่องยนต์ ทำงานได้เหมือนใหม่ ลดการสั่นของเครื่องยนต์ และการจุดระเบิดทำงานได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้เครื่องยนต์สั่นลดลง ซึ่งมาจากแบตเตอรี่ในรถยนต์กระไฟไม่เพียงพอ รถยนต์สตาร์ทติดง่าย

7. ช่วยเพิ่มแรงบิด (Torque) และแรงม้า (Horse Power) โดยสามารถเพิ่มได้ถึง 20-30% มาจากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น 15-20% (ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่และสภาพการจราจร)

8. ช่วยให้ระบบคันเร่งไฟฟ้าตอบสนองและทำให้อัตราเร่งดีมากยิ่งขึ้น รถไม่อืดในความเร็วต้นๆ และไหลลื่นในความเร็วปลาย ทำให้เหยียบคันเร่งน้อยลง เป็นเพราะระบบไฟมีความเสถียรมากกว่าเดิม เครื่องยนต์จึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

9. ระบบทำความเย็น (แอร์) เย็นฉ่ำมากขึ้น ทันตาเห็น แม้เปิดอุณหภูมิที่ต่ำก็ตาม ทำให้ลดการใช้เชื้อเพลิง และลดความร้อนสะสมในเครื่องยนต์ ที่เกิดมาจากการทำงานของแอร์ เป็นผลให้ ได้ความประหยัดน้ำมันอย่างเห็นได้ชัด

10. ช่วยให้ระบบไฟส่องสว่าง ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟในห้องโดยสาร สว่างมากยิ่งขึ้น ทำให้การเดินทางในยามค่ำคืน ปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหลอดไฟต่างๆ

11. ช่วยให้เครื่องเสียง มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งเดียวกันที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของระบบเสียง เช่น ระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์, กล่องหัวฉีด, ระบบกันขโมย, แตรไฟฟ้า, ไฟหน้า, ไฟกระพริบฉุกเฉิน, พัดลมแอร์, ขดลวดไล่ฝ้า ฯลฯ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพไฟฟ้า


ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด
ใช้แบตเตอรี่อย่างดีแล้วยังต้องใช้กรองไฟอีกหรอ



เคยได้ยินบ่อยๆว่า แบตเตอรี่อย่างดีแพงๆ ไม่ต้องใช้กรองไฟก็ได้

แบตเตอรี่
- กระแสไฟไม่อั่น ปลดปล่อยได้เต็มที่
- ไม่ได้ช่วยกรองขยะในระบบไฟฟ้า และถ้ามีปัญหาเรื่องระบบไฟ ทุกสิ่งอย่างจะวิ่งเข้าวงจรไฟฟ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันที

กล่องกรองไฟ
- ป้องกันปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟ ประเภท ไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชากได้ กรองขยะและสัญญาณรบกวนต่างๆในระบบไฟ ช่วยให้ระบบทำงานเนียนขึ้น
- การจ่ายกระที่สเถียร และคุณภาพมากกว่า

สิ่ง ที่ได้เรียนรู้มาก็คือ เครื่องกรองไฟดีๆเวลาใส่เข้าไปในระบบ มันช่วยทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าทำงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับการต่อตรงจากแบตเตอรี่แล้ว ระบบการทำงานดีกว่า

บวกลบกันแล้ว การติดกล่องกรองไฟคุ้มค่ากว่ามาก

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ บางคนที่แต่งรถติดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟแล้วมีปัญหาซ่อมบ่อย ใช้แล้วไม่ทนทาน พอแนะนำให้ใช้กล่องกรองไฟ แล้วไม่ค่อยมีปัญหา แสดงว่าปัญหาเรื่องระบบไฟนั้นมีผลต่ออุปกรณ์มากจริงๆ

ช่วงหลัง เรียนตามตรง เวลาเห็นรถแต่งที่ใส่ไฟเยอะ เครื่องเสียงแพงๆ แล้วไม่ใส่กล่องกรองไฟ ผมเสียวแทนเจ้าของรถทุกที

หลายท่านบอกว่าอุปกรณ์ที่ติดแพงๆ อย่างดีทั้งนั้น ทนทาน เสียยาก ผมเห็นด้วย แต่ก็ควรจะดูคุณภาพไฟแบตเตอรี่ว่ามันเพียงพอกับอุปกรณ์ที่ท่านติดเสริมมามากน้อยขนาดไหน

แรงดันไฟวูบวาบระดับนี้บั่นทอนอายุการใช้งาน อุปกรณ์มีคุณภาพระดับไหนก็เถอะเจอแบบนี้บ่อยๆ ไม่เสียสุขภาพก็แปลกแล้วล่ะ
ท่าน

ขออนุญาต แนะนำกันตรงนี้ว่ากล่องกรองไฟ ควรมีติดรถไว้ ไม่ว่าอุปกรณ์หรือรถของท่านจะราคาเท่าไรก็ตาม คุณได้มากกว่าเสียแน่นอนครับ

โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด


อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์สุดรักของเรา ไม่ว่าจะเป็น ชุดเครื่องเสียง, กล่อง ECU, อุปกรณ์วงจรไฟฟ้าต่างล้วนต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานทั้งสิ้นและก็ไฟฟ้านี่เช่นกันที่บางครั้งกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้อุปกรณ์ของเราให้เสียหายได้ การป้องกันเครื่องไม้เครื่องมือเราจากปัญหาเหล่านี้ก็คงไม่พ้น "ตัวกรองไฟ" ทั้งที่จริงๆมันมีระบบการทำงานที่มากกว่าแค่กรองไฟ

อุปกรณ์เหล่านี้มักมีชื่อเรียกในหลายรูปแบบ เช่น กล่องกรองไฟ, กล่องเรียงกระแสไฟ, เครื่องคุมไฟ  จะเรียกแบบใดก็ไม่น่าจะผิดเพราะหลักการทำงานทั่วไปจะเหมือนๆกันคือ
- ป้องกันสัญญาณรบกวนที่มาจากสายส่ง และจากอุปกรณ์ต่างๆ
- ป้องกันการลัดวงจร
- ป้องกันไฟกระชาก
- ป้องกันอันตรายจากไฟตก ไฟเกิน และไฟติดๆ ดับๆ
- ปรับระดับแรงดันไฟให้ราบเรียบและนิ่ง

คุณสมบัติโดยทั่วไปจะไม่พ้นหัวข้อข้างต้น แต่จะมีเพิ่มลูกเล่นต่างๆมาตามรุ่นที่ใหญ่และแพงขึ้น เช่นทนกำลังไฟได้มากกว่าในกรณีลัดวงจร มีระบบFilterในการกรองสัญญาณรบกวนี่ดีขึ้น

บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามันทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์เราดีขึ้นด้วย อันนี้เรื่องจริงยิ่งกับพวกอุปกรณ์จำพวกสายกราวด์ ไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่พอมาผ่าน "ตัวกรองไฟ" ที่คุณภาพดีๆแล้ว บางทีต้องตกใจกับคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว

ก็ลองตัดสินใจดูว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุนมั้ยเพื่อปกป้องและเพิ่มประสิทธิภาพให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ของเราให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เราลงทุนกันไปครับ

โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



รถคุณใช้อุปกรณ์เหล่าอยู่หรือไม่  ?


แบตเตอรี่ให้กำลังไฟเพียงพอต่อความต้องการของอุปกรณไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ของแล้วจริง....หรอ


คุณเคยสังเกตไหมเวลาขับรถตอนกลางคืน ทำไมไฟส่องทางถึงกระพริบ บางที่ก็เห็นไฟรถคันที่สวนมากระพริบ นั่นแหละครับ คืออาการไฟตก ยิ่งรถยนต์สมัยใหม่เรียกได้ว่าใช้ระบบไฟ 80% ของทั้งตัวรถกันเลยทีเดียว และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ดึงไฟกันเป็นว่าเล่นโดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น กล้องติดรถ ไฟซีนอน ไฟเดย์ไลท์ GPS ที่ชาร์จมือถือ ฯ เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟตก แล้วระบบต่างๆ จะเป็นไรไหม แรกๆ อาจไม่มีปัญหาอะไร ก็เหมือนของใช้ในบ้านที่โดนฟ้าผ่าหรือไฟตกบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดอาการรวน ทำให้ต่างมีปัญหาได้


มีวิธีไหนไหมที่จะช่วยเรื่องอาการไฟตก หรือการจ่ายไฟไม่เพียงพอ เราช่วยคุณได้ ติดกล่องน้ำมันอิเล็กทรอนิกส์ P Electronic Oil สิครับ เรากำลังไฟที่มากกว่า สินค้าเราเน้นที่คุณภาพ ใช้งานได้จริง

โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



CCA คือหัวใจของแบตเตอรี่รถยนต์


ในการผลิตแบตเตอรี่รุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งมีการเรียนรู้มากขึ้นว่าแบตเตอรี่สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ หัวใจอยู่ที่กำลังในการสตาร์ท   (CCA = Cold Cranking Amps ) หรือแปลเป็นไทยให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือ ความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้ากระชาก สูงสุด ) เพราะเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์มอเตอร์สตาร์ทจะกระชากกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก จากแบตเตอรี่ (แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 1-5 วินาที) ซึ่งคิดกลับเป็นความจุไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย แต่แบตเตอรี่ต้องสามารถจ่ายได้  และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสามารถนี้ของแบตเตอรี่ก็คือ ความต้านทานไฟฟ้า (Internal Resistance = IR )  และปัจจัยมีมีผลต่อความต้านทานไฟฟ้าที่แตกต่างกันก็คือ ความหนาแน่นของแผ่นธาตุ(ซึ่งแผ่นแบบหล่อไม่สามารถทำให้แน่นเพิ่มขึ้นได้ ) และ พื้นที่ผิวสัมผัสต่อสารเกิดปฏิกิริยาไฟฟ้า และ ความเข้มข้นของน้ำกรด  ดังนั้นแผ่นธาตุจึงใช้เทคนิคการรีด (ทำให้กำหนดความหนาแน่นแผ่นธาตุได้ )


ดัง นั้นแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ๆ จึงอาจจะมีจำนวนแผ่นธาตุเท่าๆ กัน แต่ CCA แตกต่างกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย  บางรายอาจจะทำให้แผ่นธาตุมีความหนาแน่นสูง ๆ และ สูงกว่า แต่มีจำนวนแผ่นน้อยลง  บางรายอาจจะทำให้แผ่นเตี้ยกว่า แต่มีจำนวนมากกว่า ก็เป็นได้  ดังนั้น ในแบตเตอรี่รุ่น ใหม่ ๆ จำนวนแผ่นธาตุจึงมิใช่สาระสำคัญอีกต่อไปครับ แต่จะแตกต่างกันที่ CCA ที่จะต้องมีให้เพียงพอต่อความต้องการของรถยนต์ 


ซึ่งค่านี้เป็นการคำนวณแบบคราว ๆ นะครับ ซึ่งค่าที่ได้เป็นค่าอย่างน้อยที่แบตเตอรี่ต้องมี สำหรับการจะสตาร์ทเครื่องยนต์  ซึ่งถ้าไปเช็คตามร้านทั่วไปที่ไม่มีเครื่องมือพิเศษ ก็อาจจะบอกว่าแบตฯเสื่อมหรือไม่ก็จะจับแบตฯไปทำการ ชาร์จ ถ้าหลังจากชาร์จแล้ว ยังเหมือนเดิมก็แสดงว่า แบตฯเสื่อมสภาพ แต่ใน ปัจจุบัน มีเครื่องมือพิเศษเป็นอุปกรณ์ทีใช้ในการวัดประสิทธิภาพของแผ่นธาตุใน แบตเตอรี่ ว่ายังมีสภาพพร้อมที่จะทำปฎิกิริยากับน้ำกรดเพื่อสร้างกระแสไฟ ให้เกิดค่ากำลังไฟครับหรือไม่เพราะมีหลายท่านอาจจะพบว่า นำแบตฯไปชาร์จจนโวลท์เต็ม ขนาด 12.6-12.8 โวลท์แล้ว แต่ทำไมยังไม่สามารถสตาร์ทรถติดได้ นั้นก็ เพราะแผ่นธาตุนั้นมีซัลเฟตเกาะหรือเสื่อมแล้ว ไม่สามารถสร้างกระแสไฟได้ หรือบางครั้งเราลืม เปิดไฟหรื่ค้างคืนไว้ พอเช้ามาสตาร์ทรถไม่ติด ถ้าไปเข็คตามร้านทั่วไป อาจจะบอกว่าแบตหมด เสื่อมแล้ว เพราะเขาวัด แต่เฉพาะโวลท์ของแบต ไม่สามารถวัดค่า cca ได้ ซึ่งถ้าใช้เครื่องวัดเครื่องจะแจ้งว่า good recharge หมายถึง สภาพแผ่นธาตุยังคงใช้งานได้แต่ค่าโวลท์นั้นต่ำลง (เพราะเราลิมเปิดไฟค้างคืนไว้) ถ้าเรานำไป recharge ใหม่ก็จะใช้งานได้ดังเดิม  เช่น แบตฯรุ่น ปิกอัพ ขนาด 70 แอมป์ หรือท้องตลาดจะเรียกว่า รุ่น  NS70 z นั้น ตามระบบสากลเรียกรุ่นนี้ว่า รุ่น 75D 31 ซึ่งมีค่ามาตรฐาน CCA ต้องไม่ต่ำกว่า 380 แอมป์ ซึ่งถ้าใช้อุปกรณ์วัดค่า CCA แล้วพบว่า ต่ำกว่ามาตรฐาน อย่างน้อย 20% เครื่องจะเตือนและแจ้งว่า ควรที่จะเปลี่ยนแบตฯใหม่ได้แล้ว เพราะมิฉะนั้นท่านอาจจะพบเหตุ แบตหมดได้ในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่า ค่าโวลท์ หรือ ค่า ถ.พ.น้ำกรดนั้น มิได้เป็นตัวบอกว่าแบตลูกนั้นจะใช้งานได้ดีหรือไม่เสมอไปการวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่า ที่ต้องวัดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของ การทำงานของแบตเตอรี่สรุปนะครับ  ตรวจเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งต่อไป อย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่เพื่อความสะดวก ปลอดภัยในการใช้รถยนต์(เราควรบันทึกค่า CCA ของแบตลูกนั้นเป็นประวัติด้วย มันจะลดค่าลงเรื่อยๆ ครับ

โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



ระบบไฟแบตเตอรี่ สำคัญต่อเครื่องเสียงอย่างไร


เหล่าบรรดานักเล่นเครื่องเสียงบ้าน ให้ความสำคัญกับระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างยิ่งยวด มากจนน่าแปกใจ ออกจะติดไปทางงงๆด้วย ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ตรงไหนก่อน และเลือกยี่ห้ออะไรดี  สายไฟ ปลั๊กไฟ เต้าเสียบ แผ่นปิดเต้าเสียบ หัวเสียบ ท้ายที่จะเสียบเข้ากับอุปกรณ์เครื่องเสียงของเรา เครื่องกรองไฟ อื่นๆ อีกมากมาย แต่ละยี่ห้อ แต่ละวัสดุที่ใช้ทำล้วนส่งผลต่อเสียงทั้งสิ้น แค่ปลั๊กไฟติดผนังอย่างเดียวเป็นหมื่นบาทก็มี


กลับกัน ในรถยนต์ หลายคนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเครื่อง สายไฟ หรือแบตเตอรี่เท่าไหร่ แบตยังใช้ลูกเดิม ทำให้ในระบบ เกิดเสียง noise ค่อยข้างดังลอดออกมาจากลำโพง และต้องหาทางแก้  เมื่อให้ช่างเช็ค ก็จบที่ว่า ระบบไฟต้องแก้ไข เมื่อติดกรองไฟเข้าไป เสียงรบกวนก็หายเป็นปลิดทิ้ง และทำให้รู้ว่า มันทำให้เสียงดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด


ในรถยนต์มีหลายๆท่าน ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ก็มีนักเล่นเครื่องเสียงรถยนต์อีกมาก ที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องระบบไฟ หรือบางท่าน จัดลำดับไว้เป็นลำดับท้ายๆ ในการเลือกอุปกรณ์


หลายท่านคงเคยประสบปัญหา การติดตั้งเครื่องเสียงราคาแพงว่า ก่อนติดตั้งก็ลองฟัง อยู่ที่ร้านได้คุณภาพเสียงสุดยอด แต่พอตัดสินใจลงทุนติดตั้งไปแล้ว ทำไมคุณภาพเสียงมันไม่ใช่เลย หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญ ก็เป็นด้วยเรื่องทางระบบไฟฟ้านั่นเอง เพราะในห้องลองเสียงของร้านติดตั้งนะ ใช้ไฟบ้านมาผ่านวงจรจ่ายไฟ เพื่อแปลงแรงดัน แล้วจึงใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟ ให้กับเครื่องเสียงนั้น แต่แหล่งพลังงานไฟฟ้าในรถยนต์จริง จะได้มาจากไดชาร์จ ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างออกไป อีกทั้งในรถยนต์ ยังมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งเดียวกัน เช่น ระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์, กล่องหัวฉีด, ระบบกันขโมย, แตรไฟฟ้า, ไฟหน้า, ไฟกระพริบฉุกเฉิน, พัดลมแอร์, ขดลวดไล่ฝ้า ฯลฯ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพไฟฟ้า ภายในรถยนต์ อันส่งผลกระทบต่อคุณภาพของระบบเสียง


จะแบ่ง 3 ตอน ได้แก่


- ความสำคัญของแบตเตอรี่ต่อเครื่องเสียงในรถยนต์


- การเลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะสม


- แบตเตอรี่สำหรับเครื่องเสียงรถยนต์


ความสำคัญของแบตเตอรี่ เพราะเคยได้ยินมาว่า พอสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้ว จะถอดแบตฯ ออกก็ได้ เครื่องก็ไม่ดับแล้ว เพราะเหตุใดจึงจะมีความเกี่ยวข้อง กับเครื่องเสียงได้ ก็จะต้องกล่าว ถึงระบบไฟฟ้าในรถยนต์กันก่อน แน่นอนว่าต้นกำเนินพลังงานทั้งหมด จะต้องมาจากเครื่องยนต์ ต่อสายพานมาหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แต่ก่อนจะเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ แต่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไดชาร์จ ไดชาร์จถือเป็นต้นกำเนิดของพลังงานไฟฟ้า ทั้งหมดในรถยนต์ หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียง ไฟสปอร์ตไลท์ ฯลฯ ก็จำเป็นจะต้อง เพิ่มขนาดของไดชาร์จขึ้น ไม่งั้นไฟตกและเครื่องเสียงอาจเสียได้


ส่วนแบตเตอรี่เป็นแหล่งสะสมทั้งงาน (ไม่ได้เป็นตัวกำเนิด ดังนั้นเมื่อจ่ายไฟฟ้าออกไป ก็จะมีพลังงาน ลดลง) มีหน้าที่หลักคือ ใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ และมีหน้าที่รองคือ เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าใน ขณะที่เครื่องยนต์ ไม่ได้ทำงาน และแบตเตอรี่ยังเป็นตัว ทำให้ระบบไฟฟ้า มีคุณภาพ และเสถียรภาพ ดีขึ้น คือเป็นตัวดูดขับแรงดันกระชาก เพราะในรถยนต์อาจมี อุปกรณ์ไฟฟ้าตัวใดตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดแรงดันกระชาก โดยเฉพาะในรถยนต์เบนซิน ที่มีการสร้างแรงดันสูงหลายพันโวลท์ เพื่อใช้ในการจุดระเบิด หากไม่มีแบตเตอรี่ต่ออยู่ อาจทำให้เกิดแรงดันกระชาก ที่มีโวลท์สูง จนทำให้เครื่องเสียง ได้รับความเสียหายได้ นอกจากนี้แล้วแบตเตอรี่ ยังช่วยในการจ่ายกระแส กระชากด้วย ในกรณีที่ติดเครื่องเสียง กำลังสูง เพราะเสียงกลองหรือเบส จะทำให้มีการดึง กระแสอย่างมาก ในเวลาอันรวดเร็ว อาจถึง 60 แอมป์ ในเวลาเพียง 1 มิลลิวินาที ถึงแม้ว่าไดชาร์จ ที่ใช้จะมีขนาด 150 แอมป์ ก็ตาม แต่ไดชาร์จประกอบด้วยขดลวด ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้าน การเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ของกระแสไฟฟ้า (จะสังเกตได้ว่าสายไฟบวกของ เครื่องเสียงติดรถยนต์ จะนิยมใช้ขดลวดต่ออนุกรมไว้ เพื่อลดกระแสกระชากจาก การจุดหัวเทียน) ทำให้ไดชาร์จไม่สามารถ จ่ายกระแสได้ทัน เพื่อขับเสียงกลอง เป็นผลให้แรงดันไฟตก (สังเกตได้ว่า ไฟหน้าปัทม์จะหรี่ลง ตามจังหวะเสียงกลองนั้น) และคุณภาพของเสียง ย่อมเสียไปอย่างแน่นอน เนื่องจากแบตเตอรี่ ถูกต่อไว้ในระบบ แบตเตอรี่จะทำการ จ่ายกระแสไฟออกทุกครั้ง ที่มีเสียงกลอง จะทำให้อายุการใช้งาน ของแบตเตอรี่ลดลง เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ ถูกออกแบบมาเพื่อ ใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-3 วินาที วันละประมาณ 2-5 ครั้งโดยเฉลี่ย เมื่อมาเจอกับเสียงกลอง หลายร้อยครั้งต่อหนึ่งเพลง ย่อมจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งาน น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ความประหยดไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก สิ่งที่นักเล่นเครื่องเสียงจะต้องสูญเสียคือ คุณภาพเสียงจากเครื่องเสียง ราคาเรือนแสนที่ถ่อมตัวลงมา ดังนั้นยิ่งแบตเตอรี่มีความสามารถ ในการจ่ายกระแส กระชากได้ดีเท่าไหร่ ยิ่งมีผลดีต่อคุณภาพเสียงเท่านั้น


แล้วคาปาซิเตอร์ล่ะทดแทนได้ไหม? คำตอบคือ ได้ แต่ต้องใช้คาปาซิเตอร์กี่ร้อยฟารัด เพื่อเก็บพลังงาน ให้เท่ากับแบตเตอรี่หนึ่งลูก



โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



เกร็ดความรู้เรื่อง ระบบไฟที่สงสัยกัน


โดยปกติอุปกรณ์จำเป็นมาตรฐานที่ติดตั้งมากับรถยนต์นั้น มีอัตราการกินกระแสที่เป็นสัดส่วน ดังต่อไปนี้ (เป็นอัตราเฉลี่ยในรถขนาดแตกต่างกัน ถ้ารถขนาดใหญ่ก็อาจกินกระแสมากกว่ารถ ขนาดเล็ก)


- ไฟหน้าใหญ่ 15-20 A


- ไฟป้อนเข้าระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์ 10 A


- ไฟสำหรับที่ปัดน้ำฝน 15-20 A


- ไฟดวงต่างๆ 1 A ต่อหลอด


- ไฟสำหรับระบบปรับอากาศ 25-35 A


ถ้าเราเป็นนักสังเกตบ้างเล็กน้อยเมื่อถอยรถออกจากโชว์รูม จะเห็นได้ว่าแบตเตอรี่ที่ติดตั้งมา กับรถนั้น มีขนาดแค่พอเหมาะประมาณ 35-45 แอมแปร์ นั่นก็เพราะเขาคิดมาตรฐานเอาจากค่า การใช้กระแสมาตรฐานจากไฟหน้า, ไฟระบบเครื่องยนต์ และไฟอื่นๆ โดยบางครั้งยังไม่นับรวมถึง ไฟที่ใช้สำหรับระบบปรับอากาศด้วยซ้ำไป เวลาใช้รถตอนกลางคืนที่ฝนตกหนักๆ แค่เปิดไฟหน้าและที่ปรับน้ำฝนพร้อมกับระบบปรับ อากาศ จะสังเกตเห็นไฟหรี่ภายในรถมีอาการวูบวาบแล้ว บางท่านที่พอรู้เรื่องรู้ราวบ้างก็จัดการ เปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 50-65 แอมแปร์ อาการดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป การเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นอาจถูกต้องในบางเรื่องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจะต้องคำนึงถึง ‘ไดชาร์จ’ หรืออัลเตอเนเตอร์ด้วย ถ้าไดชาร์จมีขนาดแรงดันกระแสขาออกแค่เพียง 35 A โดยทางทฤษฎีมันจะมีความเหมาะสมเพื่อใช้กับแบตเตอรี่ขนาด 35 A เท่านั้น ถ้าใช้แบตเตอรี่ เพิ่มเป็นขนาด 50 A ไดชาร์จจะต้องทำอย่างหนักเพื่อพยายามเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ 50 A โดยไม่มีการเรียกใช้ไฟจากระบบไฟรถยนต์เลยถ้ายังต้องเปิดไฟหน้า หรือเปิดเครื่อง ปรับอากาศในระหว่างที่ไดชาร์จกำลังเติมไฟให้แบตเตอรี่ กระแสไฟที่แบตเตอรี่ก็จะไม่มี วันเต็มได้เลยถ้าคิดอัตราเฉลี่ยในการเติมไฟแบตเตอรี่ของไดชาร์จโดยไม่มีการโหลดจากระบบไฟรถยนต์ ไดชาร์จขนาด 35 A จะเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ขนาด 50 A ได้ในเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าขณะที่ทำการปั่นไดชาร์จด้วยเครื่องยนต์เพื่อเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ระบบเครื่องยนต์ก็จะกินไฟ 10 A อยู่ตลอดเวลา ระยะเวลาจึงยิ่งนานเข้าไปอีก ยิ่งถ้ามีการเปิดระบบปรับอากาศด้วยก็ยิ่งนานขึ้นอีกในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านระบบเสียงรถยนต์มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมากจากกำลังขยายเพียงแค่ไม่กี่วัตต์ในสมัยก่อน กลายมาเป็นกำลังขยายในระดับพัน-สองพันวัตต์ในปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ผู้คนทั้งหลายต่างมองข้ามกันไปก็คงเป็นเรื่องของ ‘กำลังไฟ’ ที่จะป้อนจ่ายให้กับอุปกรณ์ระบบเสียงหลายท่านไม่ทราบว่าจะต้องคำนวณการกินกระแสของระบบได้อย่างไร

การเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช้ทางแก้ปัญหา การเรียกกำลังไฟจากรถยนต์ที่ถูกต้องโดยปกติเราต้องใช้ไดชาร์จที่มีขนาดกระแสขาออกได้มากกว่าความต้องการของ กระแสรวมประมาณ 20% และ 40-50% ถ้าค่ากระแสขาออกนั้นบอกมาในหน่วย Cold152

1. สายไฟแรงดันที่ขั้วบวก หรือขั้วลบที่ลงกราวน์ อาจมีขนาดเล็กเกินไปเมื่อ เทียบกับจำนวนของกระแสที่ไหลผ่าน

2. เกิดอิมพีแดนซ์อย่างรุนแรงในจุดต่อยึดบางจุดของสายไฟแรงดัน/หรือขั้วกราวน์ อาทิ ขั้วแบตเตอรี่เสื่อม, มีการต่อสายไฟแรงดันอย่างหลวมๆ ไม่บัดกรี, ขันหัวขั้วแบตเตอรี่ไม่แน่น, ยึดหัวขั้วไฟกราวน์ไม่แน่น, ไม่ขูดสีตัวถังให้สะอาด หรือกราวน์ไม่ สมบูรณ์

3. ขนาดของแบตเตอรี่ไม่เพียงพอที่จะจ่ายกระแสไฟให้กับระบบเสียง หรือมีความจะของกระแสที่แบตเตอรี่น้อยเกินไป

4. แบตเตอรี่มีการคายประจุที่เร็วมาก (ผิดปกติ) หรือไม่ก็แผ่นแซลในแบตเตอรี่เกิดความเสียหาย (เปลี่ยนใหม่)แล้วเช็คด้วย VOM อีกครั้ง

5. แบตเตอรี่มีขนาดพอเพียงกับการจ่ายกระแส แต่ว่าตัว ‘ไดชาร์จ’ ให้ขนาดกระแสขาออกน้อยเกินไป หรือไม่สามารถจ่ายกระแสได้มาพอต่อการประจุแบตเตอรี่ให้เต็มได้ กรณีแบบนี้ค่าแรงดันที่วัดได้จากแบตเตอรี่จะต่ำกว่า 12 โวลท์ เมื่อทำการตรวจวัดในขณะดับเครื่องยนต์

จึงอาจต้องระวังเรื่องนี้ในการสับเปลี่ยนไดชาร์จ นอกจากนั้นยังพบว่าไดชาร์จและ การประจุกำลังไฟของรถยนต์มีความแตกต่างกันในรถแต่ละคัน บางระบบสามารถจ่าย กระแสออกมาได้เต็มที่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานขณะที่บางระบบจะจ่ายกระแสก็ต่อเมื่อ เครื่องยนต์มีรอบปั่นสูงๆ ซึ่งความแตกต่างนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่พึงระวังโดยหลักการแล้วไดชาร์จถูกคิดค้นและสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ

1. เพื่อผลิตและแจกจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ เริ่มทำงาน

2. เพื่อจ่ายกระแสไฟไปกักเก็บเอาไว้ที่แบตเตอรี่ เพื่อนำกลับมาใช้ในสตาร์ตเครื่องยนต์

เราสามารถอธิบายถึงลักษณะการทำงานของไดชาร์จไดด้วยทฤษฎีพื้นฐานทางอีเล็กโทรนิกได้ว่ากระแสไฟจะไหลจากแหล่งกำเนิดที่มีค่าศักยภาพสูงที่สุดไปยังจุดที่มีศักยภาพต่ำที่สุดซึ่งคล้ายกับน้ำที่จะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำดังนั้นเพื่อให้เรามั่นใจถึงการประจุไฟให้กับแบตเตอรี่ได้อย่างเต็มที่นั้น เราจะต้องรักษาระดับแรงดันไฟขาออกของไดชาร์จให้สูงกว่าค่าปกติของแบตเตอรี่ ซึ่งก็คือ 12.8 โวลท์ และด้วยวิธีนี้แบตเตอรี่จะไม่ถูกใช้งานจนกว่าจะมีการสตาร์ตเครื่องยนต์อีกครั้งหนึ่งและนี่คือ”แก่นการทำงานของระบบไฟฟ้าในรถยนต์”นั่นเอง


โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



ระบบไฟฟ้ามีความสำคัญต่อ ECU อย่างไร


ในปัจจุบัน ECU จะไม่ควบคุมเพียงแค่ การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และ การจุดระเบิดเท่านั้น ECU ยังสามารถ ที่จะควบคุมระบบต่างๆ อาทิเช่นระบบปรับความยาวท่อร่วมไอดีแปรผัน ระบบวาล์วแปรผัน การทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ พัดลมระบายความร้อน ระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น   ECU สามารถที่จะจัดการให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานสัมพันธ์กันได้ กระแสไฟ dc ในรถก็สำคัญ ถ้าหากสม่ำเสมอกระแสไฟสม่ำเสมอ และไฟตกเป็นบางช่วง มีผลต่อการทำงานของ ECU กันเลยรถที่ออกจากโรงงานก็แน่นอนว่าเขาทำมาเพื่อให้พอใช้ได้ อะไรที่ตัดออกได้โดยที่มันไม่เกิดปัญหาในระยะสั้นเขาก็ไม่ติดให้คุณหรอกครับ แล้วเราจะทำยังไงเพื่อให้กระแสไฟไปเลี้ยง ECU อย่างสม่ำเสมอ ง่ายๆ แค่คุณติดตั้งกล่องกรองไฟ คำถามที่ว่า "แค่ใส่กล่องกรองไฟเข้าไป ทำไมถึงดีขึ้นได้" ไฟนิ่งทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังส่งผลให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มีกำลังที่สูงขึ้น ยืดอายุการใช้งาน มีการตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และลดมลภาวะที่ปล่อยออกมา เป็นต้น ถึงแม้กล่องกรองไฟจะไม่ได้รถคุณเร็วเหมือนการจูนกล่อง ECU หรือคันเร่งไฟฟ้า แต่เชื่อเถอะว่ารถที่คุณรักจะอยู่กับคุณไปอีกนาน


โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/

ออฟไลน์ MaFiaPuk

  • *
  • 32
  • 0
  • P Electronic Oil Super DC Filter
    • ดูรายละเอียด



คำถามที่ว่า "แค่ใส่วงจรเข้าไป ทำไมถึงดีขึ้นได้" ตามความเห็นของผม ไฟนิ่งกว่าอุปกรณ์อิเล็คฯทำงานได้ผิดพลาดน้อยกว่าปกติพวกเซนเซอร์ หรืออุปกรณ์อิเลคฯแบบต่างๆ ตามสเปคมันจะมีค่าผิดพลาดบอกอยู่ครับ ซึ่งจะเป็นค่าที่ผู้ใช้ยอมรับได้แต่ถ้าเราช่วยทำให้อุปกรณ์พวกนี้มันทำงานแบบผิดพลาดได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ยิ่งผิดพลาดน้อยเท่าไหร่ผมว่ามันก็น่าจะยิ่งส่งผลดีกับระบบเครื่องยนต์โดยรวมนะ


ไฟที่รถใช้เป็นหลักตอนรถวิ่งจะมาจากไดชาร์ต ยิ่งรอบเครื่องยนต์สูงสัญญาณรบกวนจะยิ่งเยอะ เพราะกระแสไฟเกิดจาก การเหนี่ยวนำของขดลวด ไม่เหมือนกระแสไฟที่มาจากแบตฯตอนดับเครื่องที่แทบจะไม่มีสัญญาณรบกวนไม่ใช่แค่ไดชาร์ตอย่างเดียวที่สร้างสัญญาณรบกวนมาในระบบ ยังมีไฟสูงตอนจุระเบิด คอมแอร์ พัดลมมอร์เตอร์ต่างๆ ด้วย


ข้างในกล่อง Filter มันใส่ Super Capacitor ไปด้วย ตัวเล็กแต่ทำได้ความจุเยอะ มีค่าเป็น 1,000,000 ไมโครฟารัด คนที่เค้าสร้างวงจรนี้ขึ้นมา โจทย์ของเค้าก็คืออยากได้ไฟที่นิ่ง เหมือนที่ได้จากแบตฯตอนไม่ได้ติดเครื่องยนต์แล้วทำไมคนเราอยู่ดีๆถึงอยากให้ไฟรถตัวเองนิ่ง เพราะเค้าเป็นคนที่อยู่ในวงการเครื่องรถยนต์ ทดลองทำกันมาเกือบ 10 ปี จนสุดท้ายเค้าก็ได้วงจรที่ทำงานจนที่น่าพอใจคือ กระแสไฟตอนติดเครื่องยนต์มันนิ่งพอๆกันตอนดับเครื่องแต่ว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงที่ใช้กรองไฟแล้วดันรู้สึกว่ารถแรงขึ้น ประหยัดขึ้น แอร์เย็นขึ้น ไฟหน้าสว่างขึ้น เกียร์ Smooth ขึ้นให้คนอื่นลองก็ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน


ส่วนที่ถามว่ามันจะมีผลเสียกับรถเรารึป่าว อันนี้ตามความเห็นของผมนะครับ วงจรประเภท Passive ปกติจะเป็นผู้รับครับ ไม่ได้เป็นส่งหรือขยายสัญญาณรบกวนใดๆออกไปรบกวนวงจรในส่วนอื่นได้ครับ ถ้าตัวมันจะเสียหรือจะมีปัญหาปกติวงจร R L C ตัวที่จะเสียก็เป็น C นี่แหล่ะ บางทีให้แรงดันเกินก็ระเบิดได้ ทำให้เกิดกรณี Open circuit หรือเสื่อมค่า ก็จะส่งผลให้วงจรกรองไฟไม่ได้ตามสเปคแค่นั้น โอกาสที่จะเกิดกรณี Short circuit จากวงจรประเภทนี้มันแทบจะไม่มี บางกรณีที่ C มันเกิดการ Shot circuit แล้วกระแสไหลผ่านตัวมันได้เต็มที่จนทำให้ R รับกระแสเกินกำลังวัตต์ที่มันจะรับได้ เจ้า R ก็จะขาดแล้วเกิดการ Open circuit อยู่ดี ก็จะเหมือนกับการไม่ได้ต่อวงจรอะไรเข้าไปในรถก็แค่นั้น


โทร. 081-9105586 ปุ๊ก
Line : espadapuk
https://www.facebook.com/PElectronicPuk
http://pelectronicpuk.lnwshop.com/